ข้าวกล้อง
ฤๅแล้งแหล่งสยาม
"อา
อาสาลิการู้ไหม
ข้าวอะไรใช้ถ่ายรูปได้
." หลานตัวเท่าเมี่ยงของแม่สาลิกา ถามเมื่อวันหยุดที่ผ่านมา เล่นเอาอาอบเชยเป็น "อาอึ้งกิมกี่"
ไป ทั้งที่เป็นสาวไทยปนลาว นับย้อนขึ้นไปได้ตั้งแปดสาแหรก
และแล้วหลานก็เฉลยว่า "ข้าวกล้องไงอา
โธ่
แค่นี้อาก็ไม่รู้จัก
เชยจัง"
เฮ่อ
เด็กตัวเท่าเมี่ยงก็ยังรู้จักข้างกล้องนี่นา
แม้ว่าจะรู้จักว่าข้าวชนิดนี้ มีคุณสมบัติพิเศษพิลึก แล้วทำไมเล่า
จึงมีหลายคนมาพร่ำพรรณนากันว่า
"การสูญเสียความสมดุลของอาหารหลัก ข้าวกล้อง คือจุดเริ่มต้นแห่งการเสื่อมพันธุ์ ของคนยุคปัจจุบัน" ฟังดูแล้วน่ากลัวค่ะ ราวกับว่าเรากำลังจะสิ้นชาติกันเลยทีเดียว กับการที่ไม่บริโภคข้าวกล้อง ทำไมนักวิจัยจึงออกมาเบิกโรงด้วยถ้อยคำ อันน่าสะพรึงกลัวเช่นนั้น มาเกาะติดสถานการณ์ไปพร้อมๆ
กันนะคะ
ซึ่งข้าวซ้อมมือ หรือข้าวกล้องนั้นให้คุณค่าทางโภชนาการ มากกว่าที่เราคาดคิดกันมากนัก เพราะเป็นข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี และดัดแปลง
นักวิจัยให้น้ำหนักกับข้าวกล้อง ถึงขั้นลงความเห็นว่า "บรรพบุรุษของเราอาศัยข้าวกล้อง สร้างสมภูมิปัญญา วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณีรวมทั้งศิลปะทุกแขนง จนบรรลุจุดสุดยอดแห่งการสร้างสรรค์" เห็นไหมคะว่า
สำคัญชนิดเป็นบ่อเกิดของภูมิปัญญาเลยทีเดียว
ข้าวกล้องเคยเป็นอาหารหลักนั้นหายไปไหน
และข้าวขาวมาแทนที่ได้อย่างไร ตอบได้ง่ายๆ ก็คือมาพร้อมระบบอุตสาหกรรมนั่นเองค่ะ สมัยที่เรายังต้องใช้ครกกระเดื่องตำข้าวนั้น ตำกันพอให้เปลือกข้าวหลุด ก็นำมาฝัดเอาแกลบออก และก็นำไปหุงได้แล้ว สารอาหารที่เป็นประโยชน์สารพัดชนิด ก็ยังติดอยู่ตามผิวชั้นนอกของเมล็ดข้าว อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ รวมทั้งวิตามินทั้งหลาย ที่จมูกข้าวก็ยังไม่ถูกเลาะออกไปให้หมูให้ไก่แต่อย่างใดค่ะ ข้าวที่เป็นผลิตผลจากการซ้อมมือ จึงเป็นแหล่งพลังงานหลักของบรรพบุรุษเรา แม้ไม่ได้รับประทานอาหารเสริมนานาชนิดอย่างในปัจจุบัน ก็ไม่พบว่าขาดสารอาหารกันจนน่าตกใจอย่างในสมัยนี้
ต่อมา
เมื่อโรงสีได้เดินทางเข้ามา ตั้งรกรากในบ้านเรานั้น
เราก็ผลักภาระเรื่องการ "ตำข้าวสารกรอกหม้อ" ไปให้เครื่องจักรจัดการให้
เครื่องจักรก็สีเอาทุกอย่างที่มีประโยชน์ออกไป อย่างไม่บันยะบันยังเลยล่ะค่ะ
เพราะว่าการสีที่ขัดขาวมากๆ นั้น จะเกิดผลพลอยได้จากรำแก่รำอ่อน แก่เจ้าของโรงสีมากขึ้น
นายทุนที่ทำการสีข้าว ก็เลยหาวิธีให้มีรำมากขึ้น ด้วยการสร้างค่านิยมที่ว่าไพร่หรือคนคุกเท่านั้น ที่กินข้าวแดง หรือข้าวซ้อมมือ ผู้ดีทั้งหลายจะต้องกินข้าวขาว
และยังรวมถึงเรื่องที่ว่า โรงสีเป็นของทันสมัย ข้าวที่ขาวสะอาดมาจากความทันสมัย
ทำให้คนที่อยากทันสมัย ต้องหันไปบริโภคข้าวขัดขาว ที่ให้ทั้งสะดวกในการหุงหา และความนุ่มลิ้นเวลารับประทาน แต่หารู้ไม่ว่ากำลังถูกนโยบายทางการตลาด หลอกให้รับประทานเพียงแกนข้าว ที่คุณค่าทางอาหารสูญเสียไปหมดแล้วเท่านั้นเองนะคะ
ยิ่งไปกว่านั้นนะคะ
เมื่อวัฒนธรรมการกินแบบตะวันตกเข้ามามากขึ้น
เราก็ยิ่งห่างเหินข้าวที่ใกล้เคียงธรรมชาติกันมากขึ้น หันไปรับประทานขนมปัง
ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน บะหมี่สำเร็จรูป และอาหารประเภทแป้งแปรรูปอื่นๆ มากขึ้น
คุณค่าทางอาหารที่เหลือน้อยอยู่แล้ว ก็ยิ่งแทบจะไม่หลงเหลือเลยค่ะ
และที่หนักข้อที่สุดที่การวิจัยบอกเอาไว้ก็คือ มีการสังเคราะห์สารชนิดอื่น เข้ามาแทนที่เพื่อเพิ่มกลิ่นและรส ให้มากกว่าที่มีอยู่ในธรรมชาติ จึงทำให้อาหารที่เคยมีคุณค่า กลายเป็นของอันตรายไปเสียสิ้นค่ะ เพราะอาหารที่จะรับประทานเข้าไป กลายเป็นยาพิษสำหรับร่างกายนี่แหละค่ะ ทำให้หัวข้อวิจัยถูกจั่วไปอย่างน่าตระหนก ถึงการสิ้นพันธุ์แห่งมนุษยชาติ กับการไม่รับประทานข้าวกล้อง แต่ถึงอย่างไรนะคะ แม่สาลิกาก็ยังเชื่อว่าเผ่าพันธุ์เราจะคงอยู่ต่อไปอีกนาน ถ้าจะให้ข้าวกล้องเป็นดัชนีชี้วัดกันจริงๆ
ละก็ เพราะเมื่อไม่นานมานี้ เพิ่งได้ข่าวว่าคุณครูคุณแม่เพื่อน ซึ่งเป็นผู้นำทางความคิดของหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ในอำเภอกันทลักษณ์ ได้ยกข้าวหอมมะลิขัดขาวถุงใหญ่ พร้อมหม้อหุงข้าวไฟฟ้า ให้เป็นสมบัติของหมาประจำบ้านไปเสียดื้อๆ และตัวท่านเองกลับหันมาใช้ถ่านไม้ และหุงข้าวกล้องด้วยหม้อดินแทน
ขนาด "นอกเมืองชีวจิตยังเฟื่องถึงเพียงนี้ ในธานีเล่าจะเฟื่องสักเพียงไหน" เห็นอย่างนี้แล้ว จะให้เชื่อได้อย่างไรล่ะคะว่า
ข้าวกล้องฤๅจะแล้งแหล่งสยาม
โธ่
.
กลับไปหน้ารู้ไว้ใช่ว่า สาระน่ารู้
|